CDC กังวล โควิดกลายพันธุ์ เชื้อสายอังกฤษ อาจอันตรายขึ้นในอนาคต

CDC กังวล โควิดกลายพันธุ์ เชื้อสายอังกฤษ อาจอันตรายขึ้นในอนาคต

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์สำนักข่าว CNN รายงานว่า นาง โรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC ได้ออกมาแสดงความกังวลโควิดกลายพันธุ์เชื้อสายอังกฤษ หรือ B117 ว่าอาจอันตรายกว่าที่หลายฝ่ายได้คาดเอาไว้โดยเธอยังได้กล่าวอีกว่าในขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันได้ชัดเจนว่าวัคซีนสามารถใช้ได้ผลกับโควิดกลายพันธุ์หรือไม่ 

ซึ่งสิ่งที่ตอนนี้พวกเขาต้องทำคือศึกษาไวรัสชนิดนี้ต่อไป เพื่อตอบคำถามว่ามาตรการป้องกันโควิดทั่วไปจะสามารถใช้กับ B117 ได้หรือไม่ ทั้งนี้เธอเชื่อว่ามาตรการป้องกันโควิดทั่วไปจะสามารถใช้โควิดกลายพันธุ์ได้ ก่อนหน้านี้ทางการอังกฤษเคยออกมากล่าวว่ายังไม่พบหลักฐานว่าโควิดกลายพันธุ์จะอันตรายกว่าโควิดทั่วไป ทว่าโควิดกลายพันธุ์จะสามารถแพร่เชื้อได้เร็วกว่าโควิดทั่วไป ซึ่งนาง วาเลนสกี ได้ออกมาแสดงความเห็นในทางเดียวกันว่าโควิดกลายพันธุ์สามารถแพร่เชื้อได้เร็วกว่าโควิดทั่วไปจริง

ทางการแอฟริกาใต้ได้รับวัคซีนต้านโควิด 1 ล้านโดส และ ตามกำหนดการเดิมนั้นทางการแอฟริกาใต้จะเริ่มฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในสัปดาห์หน้า ซึ่งทางการได้กล่าวว่าพวกเขาจะใช้วัคซีนไฟเซอร์และวัคซีนจากบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้

ขณะนี้ประเทศแอฟริกาใต้มียอดผู้ป่วยสะสมมากกว่า 1.4 ล้านราย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่ากว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยใหม่ เป็นผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อโควิดกลายพันธุ์ เชื้อสายแอฟริกาใต้ที่สามารถแพร่เชื้อได้เร็วกว่าโรคโควิดธรรมดา

ทางการอังกฤษเตรียมทำการทดลอง ฉีดวัคซีนโควิด แบบ ผสมยี่ห้อ เพื่อเป็นแนวทางในการรับมือหากวัคซีนโควิดชนิดเดียวกันไม่พร้อมฉีดโดสที่สอง เมื่อวันที่ 4 สำนักข่าว ชาแนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ในประเทศอังกฤษ เตรียมเริ่มการทดลองฉีดวัคซีนแบบผสมยี่ห้อ เพื่อหาคำตอบว่าวัคซีนคนละยี่ห้อสามารถใช้ทดแทนได้ไหม ในกรณีที่วัคซีนยี่ห้อนั้นไม่เพียงพอ สำหรับการฉีดโดสที่สอง หรือในกรณีที่ผู้รับวัคซีนไม่ทราบว่าโดสแรกเป็นยี่ห้อใด

ซึ่งนาย โจนาธาน ฟาน แทม รองหัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของประเทศอังกฤษระบุว่า การศึกษาครั้งนี้จะช่วยให้พวกเขาทราบถึงข้อมูลเชิงลึกของวัคซีน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

โดยอาสาสมัครในรัฐบาลจะรับฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา และ ไฟเซอร์ในการทดลองครั้งนี้ ซึ่งการทดลองครั้งนี้จะใช้เวลาระยะเวลา 13 เดือน ขณะนี้ยังไม่มีจำนวนแน่ชัดว่าจะมีอาสามสมัครเข้าร่วมการทดลองครั้งนี้กี่คน หากอ้างอิงตามคู่มือการฉีดวัคซีนของสหรัฐฯและอังกฤษ ได้ระบุว่าวัคซีนแต่ละชนิดไม่สามารถทดแทนกันได้ แต่สามารถใช้ฉีดแบบผสมได้ ในกรณีที่วัคซีนชนิดเดียวกันไม่พร้อมฉีดในโดสที่สอง

‘ดร.อนันต์’ แนะเก็บ ‘โมเดอร์นา’ ให้ ผู้สูงอายุ ชี้ประสิทธิภาพดีกว่าไฟเซอร์

ดร.อนันต์ ออกมาเปิดเผยผลวิจัยว่า ควรเก็บ โมเดอร์นา ให้กับผู้สูงอายุ เนื่องจากมีประสิทธิภาพดีกว่า ไฟเซอร์ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และนักไวรัสวิทยา ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก พูดถึงประสิทธิภาพในการฉีดวัคซีนโควิดยี่ห้อโมเดอร์นาและไฟเซอร์ รวมถึงความเหมาะสมในการเลือกฉีดให้ผู้สูงอายุ

โดยข้อความเฟซบุ๊กระบุว่า “ควันหลงจากโพสต์เรื่อง Pfizer Vs Moderna เมื่อวานครับ วันนี้มีงานวิจัยอีกชิ้นนึงที่เก็บข้อมูลโดยทีมวิจัยที่ประเทศแคนาดา ตัวอย่างคือผู้สูงอายุในบ้านพักคนชรา เกือบ 200 คน และ ผู้ดูแลผู้สูงอายุเหล่านั้น ที่ต่างได้รับวัคซีน mRNA ไม่ว่าจะเป็น Pfizer และ Moderna ครบแล้วทั้งสิ้น งานวิจัยนี้เปรียบเทียบภูมิคุ้มกันที่ตรวจในกลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีนแต่ละชนิด และ เปรียบเทียบกับกลุ่มผู้ดูแลที่เป็นกลุ่มอายุน้อยกว่า

เมื่อเปรียบเทียบดูปริมาณแอนติบอดีต่อโปรตีนสไปค์ในกลุ่มผู้สูงอายุตัวเลขออกมาชัดว่า กลุ่มที่ได้รับวัคซีน Moderna (mRNA-1273) มีปริมาณแอนติบอดีที่สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับ Pfizer (BNT-162b2) ซึ่งตัวเลขตรงนี้จะไม่ชัดเมื่อดูในกลุ่มของผู้ดูแลซึ่ง Moderna จะสูงกว่าเล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อนำซีรั่มดังกล่าวไปตรวจหาดูแอนติบอดีชนิด NAb ที่ยับยั้งไวรัสได้จะเห็นภาพเดียวกันคือ กลุ่มที่ได้วัคซีน Moderna สูงกว่า Pfizer อย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากการศึกษานี้เหมือนจะบอกว่า สำหรับผู้สูงอายุแล้ว Moderna น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า Pfizer

ภาพดูเหมือนจะชัดขึ้นอีกเมื่อดูปริมาณ NAb กับไวรัสสายพันธุ์กลายพันธุ์ต่างๆ ให้สังเกตจำนวนจุดที่อยู่ในระดับ 10^0 (คือป้องกันไม่ได้เลย) ที่มีมากอย่างชัดเจนในผู้สูงอายุที่ได้ Pfizer โดยตัวเลขของผู้สูงอายุที่ได้ Pfizer และไม่มี NAb ต่อสายพันธุ์เบต้าเลยมากถึง 37.9% ขณะที่ pattern ดังกล่าวเห็นไม่ชัดเมื่อดูในกลุ่ม Staff ที่อายุน้อยกว่า…ผลการทดลองนี้เหมือนจะบอกว่า

ในอนาคตเราอาจจะมี mRNA vaccine มากขึ้น ซึ่งแต่ละยี่ห้ออาจจะได้ผลพอๆกันในกลุ่มหนึ่ง แต่อาจได้ผลต่างกันมากในอีกกลุ่มหนึ่ง วัคซีนทางเลือกของประเทศไทยอย่าง Moderna อาจจะจำเป็นต้องใช้กับกลุ่มเสี่ยงที่ต้องการมากที่สุดหรือไม่อย่างไร?”

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป